กระดานสนทนาหมากแข้ง

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความจริงกับอาการนอนกรน

ความจริงกับอาการนอนกรน


ความจริงกับอาการนอนกรน

*อาการนอนกรน เป็นปัญหาของการนอนหลับ ที่พบบ่อยในคนอายุ 30-35 ปี ซึ่งมักจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน ผนังคอหนา เนื้อเยื่อในช่องคอ หย่อนตัวขณะนอนหลับ

*ประมาณร้อยละ 20 เป็นเพศชาย และร้อยละ 5 เป็นเพศหญิง และอาการ นอนกรนจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น

*เสียงกรนเกิดจากการที่อากาศเคลื่อนผ่านทางเดินหายใจที่แคบ ซึ่งมักเกิดจากการผ่อนคลายหรือหย่อนตัวของกล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนบนขณะนอนหลับ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย หรือโคนลิ้น ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและสะบัดของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออ่อนในบริเวณนั้นเกิดเป็นเสียงกรนขึ้น

*การอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนจากต่อมทอนซิลและต่อมอดีนอยด์ที่โต ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการนอนกรนที่สำคัญในเด็กหรือเนื้องอกหรือซีสต์ (Cyst) ในทางเดินหายใจส่วนบนหรือการที่มีโพรงจมูกอุดตันจากหลายสาเหตุ เช่น อาการคัดจมูกจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ผนังกั้นช่องจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูกและ/หรือโพรงอากาศข้างจมูก ริดสีดวงจมูก ไซนัสอักเสบ ก็เป็นสาเหตุที่ให้เกิดอาการนอนกรนได้เช่นกัน

*อาการนอนกรนจึงไม่ใช่เรื่องปกติ แต่กลับบ่งบอกถึงการมีสิ่งอุดกั้นในระบบ ทางเดินหายใจส่วนบน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) เป็นภาวะที่มีการอุดกั้นในทางเดินหายใจมากจนกระทั่งทำให้เกิดการหยุดหายใจเป็นช่วงๆขณะนอนหลับได้ ใครมีปัญหาควรรีบปรึกษาแพทย์

*การนอนกรนอาจส่งผลให้ง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน ทำให้เรียน หรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ถ้าต้องขับรถอาจเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ นอกจากนั้น จะมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆ ได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคความดันโลหิตในปอดสูง โรคหลอดเลือดในสมอง

*ลักษณะทั่วไป ที่อาจส่งเสริมให้เกิดอาการนอนกรนขณะหลับได้ เช่น คอสั้น อ้วน น้ำหนักมาก มีความผิดปกติในลักษณะโครงสร้างของใบหน้า เช่น คางเล็ก ถอยร่นมาด้านหลัง

*หญิงที่มีรอบคอเกินกว่า 15 นิ้ว และชายที่มีรอบคอใหญ่กว่า 17 นิ้ว เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคนอนกรนได้ พอๆ กับคนที่มีต่อมทอนซิลโต และจมูกอักเสบเนื่องจากโรคภูมิแพ้

*"อาการนอนกรนกำลังเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ฮิตที่ไต่อันดับความนิยมที่ไม่น่าชื่นชมทั้งกับคนกรน และคนข้างตัวมากขึ้นทุกวัน ข้อมูลล่าสุดพบว่า สถิติโรคนอนกรนในคนไทย พบในกลุ่มผู้ชายมากถึง 20-30% ส่วนผู้หญิงพบได้ 10-15% โดยเฉพาะคนที่อยู่ในวัยทำงาน คนที่ อาการรุนแรงมากพบได้สูงถึง 5%

*อาการนอนกรนในวันนี้ ไม่เพียงแค่สร้างความรู้สึกรำคาญ แต่ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญญาณมรณะด้วย เพราะในบางคน อาการนอนกรนสื่อถึงการขาดอากาศหายใจในช่วงสั้นๆ ที่อาจทำให้หลับยาวแบบไม่ตื่นฟื้นไม่มีทีเดียว ดังนั้น จึงควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ และนี่คือข้อเท็จจริงที่นำมาฝาก"


*TIPS กำจัดเสียงกรน

*ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำหนึ่งช้อนโต๊ะก่อนนอน

*อย่ารับประทานอาหารหนัก สามชั่วโมงก่อนนอน กระเพาะที่เต็มไปด้วยอาหารจะส่งผลให้กะบังลมถูกกดทับ ทำให้การเดินลมในร่างกายตีบตัน

*หลีกเลี่ยงการใช้หมอนนุ่มๆ เพราะจะไปทำให้คอหอยผ่อนคลาย ทำให้ระบบช่องลมไม่ขยาย

*ปรับความชันของเตียงนอนให้ส่วนหัวสูงขึ้นจากแนวราบสี่นิ้ว จะช่วยผ่อนการ กดทับของลิ้น และกราม ส่งผลให้ลดอาการกรนระหว่างหลับ

*นอนตะแคง จะช่วยลดและผ่อนคลายความดันในช่องทางเดินอากาศที่เกิดจากการมีน้ำหนักมากเกินไปได้ แต่ถ้าไม่ชินกับการนอนตะแคง อาจใช้ลูกเทนนิส 2-3 ลูก เปลือกถั่วใส่ถุง หรือกระเป๋าวางไว้ด้านหลัง ลูกบอลหรือเปลือกถั่วเหล่านี้จะช่วยให้ไม่พลิกตัวไปนอนหงายได้

*หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาบางชนิด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ และยาแก้แพ้ต่างๆ เป็นตัวทำให้การหายใจช้าลง และตื้นขึ้น กล้ามเนื้อหย่อนคลายลงมากกว่าปกติ จึงมีแนวโน้มได้มากว่าโครงสร้างลำคอจะอุดตันช่องทางเดินอากาศได้ง่าย เป็นสาเหตุให้เกิดอาการนอนกรน

*ลดน้ำหนัก ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุดสำหรับผู้ที่มี น้ำหนักตัวมากผิดปกติ ทำให้การหายใจเป็นไปได้อย่างยากลำบาก การลดน้ำหนักสามารถช่วยได้ แต่หมายถึงลดให้ใกล้เคียงกับน้ำหนักตามสัดส่วน

*ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยที่สุด ทั้งยังช่วยปรับสภาพกล้ามเนื้อ และทำให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น

*กำจัดปัจจัยในที่นอนที่ทำให้เกิดอาการหอบหืดภูมิแพ้ เช่น ไร ฝุ่น ขนสัตว์ จะช่วยลดอาการคัดจมูกได้ด้วย

*เพื่อป้องกันการนอนหงาย (แล้วจะกรน) อาจจะนำเอาลูกเทนนิส 2-3 ลูกมาใส่ถุงผ้าแล้วเย็บติดกับเสื้อที่ใส่นอน เวลานอนจะทำให้นอนหงายลำบาก เราจะต้องนอนตะแคงตัวไปเอง เป็นอุปกรณ์กันการนอนกรนแบบประหยัด

*หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือสัมผัสควันบุหรี่

*ใช้เครื่องมือที่เป่าลมเข้าไปในทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นหรือไม่อุดกั้นขณะนอนหลับ

*หากเป็นมากต้องไปหาหมอ จะมีการตรวจหาความผิดปกติของการหายใจขณะนอนหลับ (ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ) และอาจมีการรักษาโดยการใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือการผ่าตัด แล้วแต่หมอจะเห็นเหมาะสม

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทำความเข้าใจกับ WiMAX

ทำความเข้าใจกับ WiMAX

ก่อนอื่นมารู้จักกับโลกของการสื่อสารแบบไร้สายกันก่อน เมื่อก่อนเวลาเราจะรับส่งข้อมูลกันแบบไร้สายมันมีข้อจำกัดมากมาย เช่น ระยะทางกับความเร็วในการส่งข้อมูลจะตรงข้ามกันเสมอ ถ้าระยะทางไกล ๆ ความเร็วจะน้อยลง ยกตัวอย่างเช่น Wireless LAN ได้ความเร็ว 11Mbps แต่ได้ระยะทางไม่กี่ร้อยเมตร ส่วน GPRS จะได้ระยะทางหลายกิโลเมตรแต่จะได้ความเร็วน้อยแค่ 43.7Kbps เป็นต้น

มาถึงวันนี้การติดต่อสื่อสารแบบไร้สายได้เปลี่ยนไปมาก ความเร็วกับระยะทางถึงจะอยู่ตรงข้ามกันแต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ความเร็วมากขึ้นระยะทางก็มากขึ้นไปด้วย ซึ่งตอนนี้จะเป็นโลกของ Wireless Broadband แล้วหลายคนคงคุ้นหูกันในชื่อของ 3G, Wi-Fi และน้องใหม่อย่าง WiMAX กันบ้างแล้ว สองอย่างแรกคงจะได้ยินกันบ่อยแล้ว รามาทำความรู้จักกับ WiMAX กันดีกว่า

้่ WiMAX คืออะไร

WiMAX คือการออกแบบโครงสร้างและอุปกรณ์สื่อสารแบบไร้สายที่ได้ถูกพัฒนามาจาก Wireless LAN หรือ Wi-Fi ผลดีคือ ระยะทำการที่ครอบคลุมมากกว่าเครือข่ายแบบ Wireless LAN หลายเท่า แถมยังได้ความเร็วในการให้บริการสูงเทียบเท่ากัน จึงทำให้ สามารถเชื่อมต่อระหว่างตึกต่าง ๆ ได้ง่ายไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของภูมิประเทศอีกต่อไป

มาตรฐานของระบบ WiMAX

มาถึงตรงนี้ลองดูด้วยเทคนิคกันซักนิด เจ้า WiMAX ย่อมาจาก Worldwide Interoperability of Microwave Access ซึ่งใน ระบบของ WiMAX จะมีองค์ประกอบสองส่วนหลัก ๆ คือ

1. โครงสร้างพื้นฐานจะใช้มาตรฐาน IEEE 802.16 ซึ่งหมายถึงอุปกรณ์หลัก เสาส่งสัญญาณรวมไปถึงวิธีการส่งสัญญาณต่าง ๆ ซึ่งตามมาตรฐานนี้ระยะทางการให้บริการจะอยู่ที่ประมาณ 5 กิโลเมตร เท่านั้น ยังไม่พอ! ขณะนี้ได้มีการพัฒนามาตรฐานใหม่ที่ใช้ชื่อว่า IEEE 802.16a ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการทะลุทะลวงผ่านสิ่งกีดขวางได้มากขึ้น และระยะทางระหว่างเสาสัญญาณก็มากอย่างเหลือเชื่อที่ 48 กิโลเมตร

2. คือ IEEE 802.16e หมายถึงตัวอุปกรณ์ลูกข่าย เช่น โน้ตบุ๊ก PDA หรือ Home Computer ที่มีตัวรับสัญญาณ WiMAX นั่นเอง แต่ระยะทางในการใช้บริการนั้นห่างจากเสาสัญญาณอยู่ประมาณ 5 กิโลเมตร

สถานการณ์ของ WiMAX

ในปัจจุบันได้มีการนำเอาระบบ WiMAX ไปลองใช้งานจริง ในส่วนโครงสร้างหลักได้มีการตั้งเสาสัญญาณ WiMAX กระจายเป็น เครือข่ายครอบคลุมบริเวณที่ต้องการให้บริการ หรือนำเอามาใช้เพื่อเพิ่มระยะทางในการให้บริการให้ไกลขึ้นถึงชานเมือง หรือตั้งเสา WiMAX เพื่อรับส่งข้อมูลและกระจายต่อให้กับผู้ใช้ ADSL,DSL ในพื้นที่ที่ลากสายสัญญาณหลักเข้ามาลำบากกลายเป็น Wireless Broadband นั่นเอง
ส่วนในด้านผู้ใช้งานทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกในปี 2005 ที่ผ่านมา ได้นำเอาระบบมาให้บริการ internet โดยผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า Fix wireless access อุปกรณ์ตัวนี้จะเป็นตัวรับสัญญาณที่สามารถติดที่ไหนก็ได้ เช่น ข้างตัวบ้าน หรือตัวตึก แล้วรับสัญญาณ WiMAX มา นำไปกระจายต่อยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ผ่าน Switch ซึ่งตัวอุปกรณ์จะอยู่กับที่ไม่ได้ขยับไปไหน ดังนั้นในช่วงที่สองหลังจากนี้ จะมีการพัฒนาอุปกรณ์ลูกข่ายให้ใช้งานมาตรฐาน IEEE 802.16e เพื่อให้ใช้งานในขณะที่มีการเคลื่อนที่ และสามารถใช้งานข้ามเสาส่งสัญญาณได้ เช่น ขับรถไปรอบเมืองก็ยังใช้งานได้

ประโยชน์ของ WiMAX กับชีวิตประจำวัน

จะเห็นได้ว่า WiMAX มีจุดเด่นคือระยะทางที่ไกล ความเร็วที่สูง และไม่จำเป็นต้องใช้สายส่งสัญญาณ แถม WiMAX ยังมีการ เข้ารหัสข้อมูลที่ปลอดภัยสูงอีกด้วย WiMAX จะทำให้การติดตั้ง intenet ในสถานที่ต่าง ๆ ทำได้ง่าย เพียงติดตั้งอุปกรณ์เสียบปลั๊กและใช้งาน ทำให้ผู้ให้บริการ internet สามารถให้บริการได้หลากหลายมากขึ้น เช่น การออกร้านในศูนย์ประชุม ก็ให้บริการแก่บริษัทต่าง ๆ ได้สะดวกมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งก็น้อยกว่า ความเร็วสูงกว่า เมื่อไปเทียบกับการให้บริการข้อมูลผ่านสายสัญญาณ การให้บริการ internet ความเร็วสูงสำหรับที่อยู่อาศัย ด้วยข้อจำกัดของการใช้งานระบบ ADSL ที่เป็นอยู่ในขณะนี้มีมากเช่น ระบบเครือข่ายที่จำกัดชุมสาย และระยะทางระหว่างผู้ใช้กับชุมสาย จำนวนผู้ใช้ที่สามารถให้บริการได้ ทำให้กลุ่มผู้ใช้ตามที่อยู่อาศัยถูกจำกัด ไม่สามารถให้บริการได้เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้นการนำเอาระบบ WiMAX มาใช้ จะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานให้มากขึ้น และบริการต่าง ๆ ที่จะให้บริการก็มีมากขึ้น เช่น การดูทีวีผ่าน internet หรือการเลือกดูหนังเรื่องที่ต้องการผ่าน internet เป็นต้น การให้บริการ internet ในพื้นที่ห่างไกล หรือในชนบท ด้วยข้อดีของระบบ WiMAX ที่มีระยะทางการรับส่งข้อมูลไกล ดังนั้น พื้นที่ไหนที่ไม่สามารถให้บริการได้ทั้งสายโทรศัพท์ เคเบิล ก็เป็นอีกทางออกสำหรับการใช้งานบริการสื่อสารแบบไร้สายคุณภาพสูงมาตรฐาน IEEE 802.16e ซึ่งเป็นส่วนต่อเติมของ IEEE 802.16a นั้น เป็นคุณสมบัติ พิเศษที่พัฒนาขึ้นมาให้รองรับการใช้งานในแบบที่ต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา เหมาะสำหรับอุปกรณ์แบบพกพาในการเดินทาง ช่วยให้ ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารได้โดยให้คุณภาพในการสื่อสารที่ดี และมีเสถียรภาพขณะใช้งาน แม้มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาก็ตาม การส่งสัญญาณแบบ Cellular Backhaul สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นการรับส่งข้อมูลระหว่างสถานีฐานของเครือข่าย โทรศัพท์ เพราะช่องสัญญาณของ WiMAX ที่มีขนาดใหญ่ทำให้สามารถรองรับการรับส่งข้อมูลของสถานีฐานได้สะดวกมากขึ้น และไม่ มีข้อจำกัดด้านภูมิประเทศและไม่ต้องอาศัยสายส่งสัญญาณอีกด้วย ทำให้ต้นทุนและค่าเช่าต่อเดือนในการตั้งสถานีฐานลดลงอย่างมาก

จุดอ่อนของระบบ WiMAX

แน่นอน... ไม่มีอะไรดีไปหมด ลองมาดูจุดอ่อนของ WiMAX กันบ้าง ความใหม่ของมาตรฐานระบบ WiMAX เนื่องจากเพิ่งมี การคิดค้นและเริ่มมาพัฒนาอย่างจริงจังไม่กี่ปี ดังนั้นยังมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของมาตรฐานรวมไปถึงผู้ผลิตที่นำเอามาตรฐาน WiMAX ไปพัฒนาต่อเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้งานจริงก็มีจำนวนน้อย อุปกรณ์ก็ยังไม่หลากหลาย ต้องอาศัยเวลาสักพักก่อนได้รับความนิยม รวมไปถึงราคาอุปกรณ์ WiMAX ที่ค่อนค้างสูงขณะนี้ ความถี่ของการให้บริการ ตามมาตรฐานของ WiMAX จะใช้ความถี่ช่วง 2-6GHz (802.16e) และ 11GHz (802.16d) ซึ่งในบางประเทศจะเป็นช่วงความถี่ที่มีการควบคุม ต้องมีการขออนุญาตก่อนให้บริการ และในบางประเทศ ไม่มีข้อกำหนดตรงนี้ ดังนั้นผู้ที่จะลงทุนวางระบบ WiMAX ต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเสียก่อน

คู่แข่งที่น่ากลัว

ถ้ามองในด้านระยะทางการให้บริการแล้ว WiMAX ถือว่าได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นมาก แต่ถ้าดูถึงความพร้อมของตลาด และการ สนับสนุนจากผู้ผลิตแล้ว จะพบว่ามีคู่แข่งอยู่สองมาตรฐานคือ UMTS / WCDMA เป็นระบบเครือข่ายโทรศัพท์ที่พัฒนามาจากระบบ GSM โดยจะเน้นเรื่องการเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล โดยจะได้ความเร็วตั้งแต่ 2Mbps จนถึง 10Mbps จุดเด่นของระบบนี้คือ ผู้ผลิต อุปกรณ์มือถือมี Roadmap อย่างชัดเจนแล้วว่าจะมีการผลิตอุปกรณ์มารองรับและหลากหลายแน่นอน อีกทั้งระบบเครือข่ายที่ครอบคลุม พื้นที่ให้บริการอยู่แล้ว รวมไปถึงฐานผู้ใช้งานเดิมที่มีจำนวนมากที่พร้อมจะเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานใหม่นี้ CDMA 2000 1xEV-DO เป็นระบบเครือข่ายโทรศัพท์อีกค่ายที่พัฒนาขึ้นมา โดยเน้นเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 2.4Mbps ในด้านความเร็วอาจสู้ลำบาก แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ออกแบบมาให้มีการเพิ่มความเร็วได้ในอนาคตโดยมีการเปลี่ยนแปลง อุปกรณ์บางชนิดที่สถานีฐาน ทำให้ค่าใช้จ่ายของการให้บริการต่ำกว่า WiMAX ที่ต้องลงทุนใหม่หมดทุกอย่าง

อนาคตของระบบ WiMAX

ปัจจุบันมีการจัดตั้งกลุ่ม WiMAX Forum ขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์รวมของกลุ่มคน กลุ่มบริษัทไม่ว่าจะเป็นผู้วิจัย หรือผู้พัฒนา ผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงผู้ทำตลาด ได้เข้ามารวมตัวกันเพื่อกำหนดมาตรฐาน แนวทางการพัฒนา และการนำมาตรฐานนี้ไปใช้งานได้จริง ยกตัวอย่างเช่น Internet Corporation, AT&T, Fujitsu, British Telecom, Samsung, Siemens Mobile, Cisco, Nokia และบริษัท ชั้นนำอีกหลายบริษัท และในประเทศไทยตอนนี้ ได้มีผู้ให้บริการโครงข่ายพื้นฐานบางที่เริ่มศึกษาถึงระบบ WiMAX โดยตั้งเป้าที่จะนำ เอามาให้บริการจริง ดังนั้นเทคโนโลยี WiMAX จึงเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจ และน่าจับตามองว่าจะใช้งานได้จริงหรือไม่ และแพร่หลายมากน้อยขนาดไหน เพราะจุดเด่นของระบบไม่ว่าในเรื่องระยะทาง ความเร็ว ข้อจำกัดของการเชื่อมต่อ ได้ลบจุดอ่อนของระบบอื่นเกือบหมด เราหวังว่าจะได้สัมผัสการใช้งาน WiMAX ในบ้านได้เร็ว ๆ นี้

บทความจาก นิตยสาร Stuff - 17 April 2006